ภาคการผลิตในอุตสาหกรรมไทยสถานการณ์น่าเป็นห่วง ยิ่งเมื่อคำนึงถึงสถานการณ์โลกปัจจุบัน ทั้งสงครามการค้า การพัฒนาเอไอแบบก้าวกระโดด และการส่งเสริมการลงทุนอย่างแข็งกร้าวของประเทศคู่แข่ง อาจทำให้ประเทศไทยสูญเสียศักยภาพในการแข่งขัน และความเป็นสวรรค์ของนักลงทุนไป
สะท้อนได้จากผลสำรวจการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลภาคอุตสาหกรรมล่าสุดในปี 2567 ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) และองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) พบว่าโดยรวมแล้วเพิ่งผ่านอุตสาหกรรม 1.0 มาเพียงนิดเดียว ทั้งที่มีการพูดเรื่องดิจิทัลทรานส์ฟอร์มสู่อุตสาหกรรม 4.0 มาเกือบ 10 ปี
ยังไม่ทันไร เทคโนโลยี “เอไอ” กำลังเข้ามาท้าทายภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกจึงมีการประเมินกันว่าภายใน 5 ปีข้างหน้า หากเรายังไม่พัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมจะสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจถึง 1.8 ล้านล้านบาทต่อปี
คำถามสำคัญคืออะไรทำให้ภาคอุตสาหกรรมไทยปรับตัวช้า และจะทำอย่างไรเพื่อเร่งให้ภาคการผลิตภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของไทยปรับตัวเข้าสู่ดิจิทัล และ “เอไอทรานส์ฟอร์เมชั่น”ได้ทันท่วงที
ผลสำรวจ “ดีป้า-UNIDO”
ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) กล่าวว่า 70% ของกลุ่มตัวอย่างมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในระดับ 2.0 : Solution (ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น แบบฟอร์มออนไลน์ หรือระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มความสะดวกในการทำงาน) จากระดับ 1.0 : Manual (การทำงานแบบดั้งเดิมที่ใช้เครื่องมือ Analog และกระบวนการแบบ Manual เช่น โทรศัพท์ แฟกซ์ และการส่งเอกสารผ่านอีเมล์)
ทั้งยังพบด้วยว่า การใช้ดิจิทัลในอุตสาหกรรมที่ระดับ 2.0 ไม่ได้เกี่ยวกับการผลิตโดยตรง แต่เป็น “การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลด้านความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์” ซึ่ง 57% ของกลุ่มตัวอย่างมีการใช้คำสั่งซื้อออนไลน์ โดยเปิดเว็บไซต์เพื่อรับคำสั่งซื้อและการชำระเงิน ที่เหลืออีก 4 ด้าน ยังอยู่แค่ระดับ Manual ได้แก่ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์, เทคโนโลยีดิจิทัลด้านการจัดการกระบวนการผลิต, เทคโนโลยีดิจิทัลด้านการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า และเทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการธุรกิจ
อุตสาหกรรมดั้งเดิมวิกฤต
“การทรานส์ฟอร์มที่ช้าสะท้อนศักยภาพในการแข่งขันด้านอุตสาหกรรม ในภาพรวมระดับโลก การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลทางการผลิต เยอรมนี ยังเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาเป็น จีน และไอร์แลนด์ ขณะที่ในอาเซียน สิงคโปร์เป็นอันดับหนึ่ง มาเลเซียที่สอง และไทยอันดับสาม ตามด้วยเวียดนาม”
ผศ.ดร.ณัฐพลกล่าวว่า จากแนวโน้มการเติบโต และการทรานส์ฟอร์มของไทยที่มีแนวโน้มเชื่องช้า ขณะที่เวียดนามกำลังก้าวกระโดด ทำให้นักลงทุนตัดสินใจย้ายฐานการผลิตไปยังที่เติบโตร้อนแรง เพื่อตั้งโรงงานใหม่พร้อมเทคโนโลยีการผลิตแบบใหม่
“ด้วยสภาพเศรษฐกิจไทย และโลก การที่เราไม่มีแรงดึงดูดที่เป็น Strong Intensive ในขณะที่การแข่งขันในโลกรุนแรงขึ้นจากสงครามการค้า ทำให้การตัดสินใจ Reinvestment อัพเกรดเครื่องจักร ทรานส์ฟอร์มเทคโนโลยีในบ้านเรายาก จึงชะลอลงทุนหรือย้ายไปอัพเกรดที่อื่น”
อย่างไรก็ตาม กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการทรานส์ฟอร์มเทคโนโลยีการผลิตที่โดดเด่นที่สุดในไทย คือ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มยาง-ผลิตภัณฑ์ยาง หากดูเนื้อในจะพบว่าเป็นบริษัทข้ามชาติที่มาลงทุนโดยตรง (FDI) จึงเป็นการทรานส์ฟอร์มจากเมืองนอก
ที่น่าสงสารที่สุด คือ กลุ่มอาหาร เป็นอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่อาจมองว่ายังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอัพเกรดเครื่องจักร เพราะของเดิมก็ยังใช้ได้อยู่
“กลุ่มอาหาร ประกอบด้วยผู้ประกอบการระดับเล็ก ระดับกลาง และมีซัพพลายเชนในไทยรวมกันมากที่สุดในอุตสาหกรรมการผลิต”
ความน่ากังวลอีกอย่างคือ เมื่อมีการย้ายฐานการผลิตไป Reinvestment ที่อื่นเพื่ออัพเกรดเทคโนโลยี สิ่งที่ตามมาคือ การลอยแพซัพพลายเออร์ในประเทศ และเป็นตัวทำให้ผู้ประกอบการตัดสินใจ “เลิก” ทรานส์ฟอร์มตนเอง เพราะต้องเลือก “เลิกกิจการ”
เร่งยกระดับภาคอุตฯไทย
ผศ.ดร.ณัฐพลกล่าวด้วยว่า ความต้องการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัลส่วนใหญ่เป็นบริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะ FDI ใหญ่ ๆ ซึ่งมีซัพพลายเออร์ในประเทศเกี่ยวข้องจำนวนมาก ดังนั้นในขณะที่เราสนับสนุนให้ผู้ประกอบการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และต้องมีการสร้างสภาวะที่เอื้อต่อการลงทุนต่อ เพื่อดึงบริษัทที่ได้ FDI ไว้ การมีช่องทางเอื้อประโยชน์ในการค้าการลงทุน เช่น แพลตฟอร์ม PromptBiz หรือ PromtTrade ที่มีเพื่อช่วยลดเวลา และอำนวยความสะดวก ก็ควรต้องเร่งพัฒนา และหันมาใช้กันมากขึ้น
“แพลตฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อเอื้ออำนวยด้านการค้าเหล่านี้ เป็นการผลักดันอุตสาหกรรมของเราเข้าสู่ ระดับ 3.0 ซึ่งไม่ได้มีแค่เราที่ทำ แต่ทั้งเวียดนาม มาเลเซียก็เร่งทำแพลตฟอร์มเหล่านี้แบบ Agressive ในส่วนการใช้งาน Software as a Service ก็มีมาตรฐานดิจิทัล Dsure รองรับ เพื่อกำหนดราคามาตรฐานหมดแล้ว หลายหน่วยงานมีแพ็กเกจสนับสนุน มีส่วนลดให้ทั้งบริษัทใหญ่และ SMEs”
แต่หากไม่เร่งยกระดับภาคอุตสาหกรรมในภาพรวมทั้งการพัฒนาทักษะบุคลากร และการส่งเสริมการทำ Digital Transformation โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs เพื่อสร้างความสามารถทางการแข่งขันด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ภายในระยะเวลา 5 ปีจากนี้ ไทยอาจต้องเผชิญความเสี่ยงในการสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจจากผลิตภาพการผลิตสูงถึงกว่า 1.8 ล้านล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
ชำแหละปัญหาที่แท้จริง
ผศ.ดร.ณัฐพลกล่าวว่า ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างในผลสำรวจล่าสุดชี้ให้เห็นว่า การขาดความตระหนักรู้เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การขาดแคลนพนักงาน/แรงงานที่มีทักษะดิจิทัล การขาดแคลนเงินทุน และการที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดเล็กยังไม่เหมาะที่จะลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูงเป็นปัญหาและอุปสรรคสำคัญในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในระดับที่สูงขึ้น
“ปัญหาขาดแคลนคนด้านดิจิทัล ก็มีการทำ Digital Roadmap Skil ให้บริษัท ห้างร้าน และบุคคลทั่วไป เรียนออนไลน์ สกิลต่าง ๆ ตามหลักสูตรที่ ดีป้าเห็นชอบ จะนำค่าเล่าเรียน และค่าจ้างบุคลากรด้านไอทีที่ผ่านหลักสูตรเหล่านี้ มาลดหย่อนภาษีได้ตั้ง 100-200%”
นอกจากนี้ หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรม และการเสริมสร้าง SMEs ล้วนมีแพ็กเกจสนับสนุนในการอัพเกรดเครื่องจักร หรืออุปกรณ์ไอโอที รวมถึงระบบ ERP ต่าง ๆ ซึ่งการใช้งานดิจิทัลไปสู่ระดับแพลตฟอร์มจำเป็นต้องพึ่งพาการ “เชื่อมโยงข้อมูล” ตั้งแต่ระดับเครื่องจักรกับเครื่องจักร ไปจนถึงแพลตฟอร์ม โซลูชั่นดิจิทัล ผู้ให้บริการคลาวด์ และซอฟต์แวร์เฉพาะทางด้านต่าง ๆ ซึ่งมีการลงทุนอย่างกว้างขวางในดาต้าเซ็นเตอร์ และบริการซอฟต์แวร์ทำให้อุตสาหกรรมดิจิทัลขยับไปสู่การเป็นธุรกิจบริการไม่ใช่แค่การผลิตด้วย
อีกส่วนที่เป็นปัญหา คือ การเชื่อมโยงระดับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม ธนาคาร ศุลกากร และอื่น ๆ เพื่อสร้างสภาวะที่อำนวยความสะดวกในการลงทุน และการค้า เช่น แพลตฟอร์ม Promtpay ที่สมาคมธนาคารเชื่อมโยงข้อมูลกันและลงขันกันสร้าง เอื้อประโยชน์มหาศาลแก่ภาคธุรกิจ ในส่วนภาครัฐเองก็ควรเร่งทำการเชื่อมโยงข้อมูล ทำอย่างไรที่จะให้บริการภาคธุรกิจเบ็ดเสร็จใน 7 วัน เหมือนที่ “ญี่ปุ่น”
“เป็นไปได้ยาก แต่ก็ต้องทำให้ได้ และเมื่อมีใครสักคนจะเป็นคนกลางประสานให้เกิดการเชื่อมโยงเหล่านี้ ก็มักจะมีการอ้างว่าเราทำอยู่ โลจิสติกส์ก็มีระบบ คลังก็มี ธนาคารก็มี ผู้ประกอบการก็มี แต่ไม่มีใครเอามารวมกัน”
ยุคเอไอทรานส์ฟอร์เมชั่น
อีกส่วนที่กำลังท้าทายการทรานส์ฟอร์มภาคอุตสาหกรรม คือ การทำเอไอทรานส์ฟอร์ม ที่จะผลักดันอุตสาหกรรมจากแพลตฟอร์ม 3.0 ไปสู่ออโตเมชั่นในอุตสาหกรรม 4.0
“อภิรดี ขาวเธียร” รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า มีการสำรวจการใช้ดิจิทัลในการกลุ่ม SMEs พบว่าสอดคล้องกับดีป้า คืออยู่ในระดับที่สอง ทำให้ไทยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำสุดในอาเซียน เป็นสัญญาณเตือนให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ต้องเร่งปรับตัว และใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน
อย่างไรก็ตาม ระดับความเข้าใจ และการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในกลุ่ม SMEs ยังอยู่ในระดับต่ำ จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้ AI และระบบดิจิทัลให้เกิดประโยชน์สูงสุด
“ในจีนสนับสนุนให้ SMEs พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตมากว่า 10 ปีแล้ว เพื่อให้การผลิตดีขึ้น คุณภาพสูงขึ้น ผลคือวันนี้คนไทยเริ่มซื้อของจาก SMEs จีนแพงขึ้น ผู้บริโภคไทยเริ่มยอมรับสินค้าจีนระดับพรีเมี่ยมมากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากนโยบาย และมาตรการของรัฐบาลจีนที่ส่งเสริมให้ผลิตสินค้าที่มีมาตรฐานสูง ขณะเดียวกันผู้ประกอบการที่ไม่ได้มาตรฐานที่แข่งกับ SMEs ในจีนเองไม่ได้ก็ผลักดันให้ออกไปลงทุนนอกประเทศแทน ไม่ต้องถามต่อว่าไปที่ไหน”
ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องหากลยุทธ์ในการสร้างสรรค์สินค้าและบริการเพื่อแข่งขันในตลาดที่มีความเปลี่ยนแปลง
“การทำเอไอทรานส์ฟอร์เมชั่น ที่ญี่ปุ่น มีการจ้างที่ปรึกษาเอไอ ให้ SMEs เขาทำขนาดนี้เพื่อเตรียมการรองรับการเปลี่ยนแปลงการผลิตในอนาคต แล้วเราจะอยู่อย่างนี้ เหมือนเราอยู่กับที่ จากการสำรวจ SMEs 2,700 ตัวอย่าง พบว่าเรามีดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นต่ำมาก ปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่เรื่องเงินทุน เพราะมีการสนับสนุนจากหลายหน่วยงาน มีอินเซนทีฟ มีแพ็กเกจต่าง ๆ อย่าง สสว.ก็มีเรื่องหมื่นจ่ายพัน ถ้า SMEs จ่ายค่าซอฟต์แวร์ 10,000 บาท เราช่วย 9,000 บาท เป็นต้น”
อ่านข่าวต้นฉบับ: ทำไมเทคโนโลยีการผลิต ในอุตสาหกรรมไทยช้ากว่าใคร